วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

อีกมุมจากคนสนิทถึงกรณี"ยุ้ย-รจนา"

เรื่องราวอีกมุมจากคนสนิทของ "ยุ้ย-รจนา เพชรกันหา" ที่ยืนยันว่าผลตรวจเลือดของยุ้ยไม่มีสารเสพติดแต่อย่างใด

หลังข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าให้การช่วยเหลือ  "ยุ้ย" รจนา เพชรกันหา นางแบบสาวของไทยที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในระดับโลก เดินเร่ร่อนอยู่บริเวณเพชรเกษม ในพื้นที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ก่อนจะถูกนำตัวส่งเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา สร้างความสนใจให้กับสังคมอย่างกว้างขวาง
บางกระแสข่าวระบุว่าเธอเสียสติเพราะใช้ยาเสพติด บางกระแสข่าวก็ว่าเธอติดสุราอย่างหนัก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 1ก.ย. สมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ Jay Rattanaprapapan ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีของยุ้ย รจนา เพชรกันหา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องราวอีกมุมจากผู้ที่ระบุว่ารู้จักตัวตนของยุ้ยในระดับหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ทั้งสนใจเรื่องนี้ควรได้อ่าน
ข้อความทั้งหมดมีรายละเอียดดังนี้
ในฐานะที่รู้จักตัวตนของพี่ยุ้ยในระดับหนึ่ง ได้คุยกับหมอและทีมพยาบาลที่ทำการรักษาพี่ยุ้ยเมื่อพี่ยุ้ยเข้า รพ.ครั้งก่อนหน้านี้ ขอเขียนถึงแบบตรงๆ ไม่โลกสวย ไม่อวยว่าพี่ยุ้ยเป็นคนดี นางฟ้า นางสวรรค์อะไรทั้งนั้น
นี่คือสิ่งที่สัมผัสพี่ยุ้ยมา
พี่ยุ้ย ตกกระไดพลอยโจน จากเด็กเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวแถวๆเอกมัย ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาท มาเป็นนางแบบค่าตัวปีละกว่า 50 ล้าน พูดตรงๆ ต่อให้คนที่มีการศึกษา ครอบครัวอบอุ่น ยังถือได้ว่าไม่ง่าย ที่จะทรงตัวในวงการบันเทิง
แต่ รจนา เพชรกันหา ความรู้แค่ ป.6 กับพื้นเพครอบครัวที่เกือบจะเรียกได้ว่า บ้านแตก พ่อไปทาง แม่ไปทาง จากเลี้ยงควายอยู่อุบล เข้ามาตายดาบหน้าที่ กทม. แล้วไปเป็นนางแบบเบอร์ต้นๆของโลก ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ทำงานในเมืองไทยยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งนิวยอร์ค ปารีส ลอนดอน มิลาน ตัวคนเดียว แบบไม่มีใครอยู่ข้างๆ วุฒิภาวะก็ถือว่ายังน้อย พี่ยุ้ยเป็นคนไม่ทันคน จนบางคนถึงขั้นพูดว่า เธอโง่ เธอไม่มีจริต เธอกระโดดจากเด็กเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยว แล้วข้ามไปสู่อาชีพนางแบบเลย
แล้วด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เธอติดยา และเธอยอมรับว่าเธอติดยา เธอกลับมาเมืองไทยในสภาพคนติดยา เธอมีงานบ้างประปราย หลังจากเข้ารับการบำบัด และสมองของเธอก็ถูกโคเคนทำลายไปแล้ว จนทำให้เธอมีอาการของ Bipolar Disorder
พี่ยุ้ยมีข่าวอีกครั้ง ด้วยข้อหา "ทำร้ายแม่" สิ่งที่พี่ยุ้ยกับแม่เจอคือ การถามชี้นำ และชักจูง ให้ตอบคำถามในคำตอบเชิงที่นักข่าวต้องการ เพื่อขายข่าว พี่ยุ้ยถามว่า "คุณเจคิดว่าพี่จะตีแม่ตัวเองได้ลงคอเหรอคะ?"
ทั้งพี่ยุ้ย ทั้งแม่ ไม่ทันเกมของนักข่าวในครั้งนั้น ข่าวก็ขายได้ น่าจะเข้าเป้าพอสมควรแล้วกราฟชีวิตก็เริ่มดิ่งหนักกว่าเดิม
อาการ Bipolar ที่เป็นอยู่ ทำให้ความรู้สึก อารมณ์ มันมีจุดพีคที่มากกว่าคนปกติ ดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห จะพุ่งสูงกว่าคนปกติ
หมอที่ให้การรักษาบอกว่า "อาการของรจนา ก็เหมือนคนปกติล่ะค่ะ ใช้ชีวิตปกติได้ แต่ต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเรื่องของอาการโกรธ โมโห มันเป็นอาการปกติของคนทุกคน ไม่เฉพาะคนป่วย"
หมอกำชับว่า "อย่าให้เรื่องนี้เป็นข่าว รจนาไม่ได้บ้า รจนาแค่ต้องการการรักษา การตีข่าวออกไปแบบไม่ยั้งคิด มันจะทำลายอนาคตของเขาได้ และมันจะส่งผลกระทบ ถ้าในอนาคตเขาต้องทำงาน"
ล่าสุด พี่ยุ้ยเข้ารับการรักษาที่ตึกเดิม ตึกเดียวกันกับครั้งที่แล้ว พี่น้องที่สนิทกันกำลังทยอยไปเยี่ยม ทีมแพทย์กำลังรับมือกับนักข่าว ที่จะเข้าไปรบกวนทั้งพี่ยุ้ย และผู้ป่วยคนอื่นๆ
พี่ยุ้ยไม่เคยออกมาอ้อนวอนขอให้ใครเมตตาในการทำงาน พี่ยุ้ยพยายามรักษารูปร่าง ไม่ว่าจะตอนที่อยู่ในตึกพยาบาล หรือตอนที่กลับบ้านพ่อที่พยัคฆภูมิพิสัย เพื่อจะได้กลับมาทำงาน
เพราะมีผู้ใหญ่ในวงการแฟชั่นให้คำมั่นเอาไว้ว่า ถ้ารูปร่างเข้าที่กว่านี้ จะให้ลงปกนิตยสารชั้นนำของไทย
เรื่องนี้ไม่โทษใคร
แม้กระทั่งตอนที่พี่ยุ้ยถูกโกงค่าตัว หรือมีคนตามประกบพี่ยุ้ยไปถึงกองถ่ายแฟชั่น แล้วยึดเงินค่าตัวของพี่ยุ้ย ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้มีแต่คนสนิทและทีมงานในกอง ที่เจอป้ามหาภัยคนนั้น ก็นอกจากนี้ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งนักข่าวก็ไม่รู้
พี่ยุ้ยผิดพลาดที่พี่ยุ้ยไปยุ่งกับโคเคน จนส่งผลเสียกับชีวิต แต่การที่พี่ยุ้ยเป็นคนไม่ฉลาดไม่ทันคน และไม่มีความทักษะในการทำงานด้านอื่นๆติดตัวไปเลย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอสมควรจะถูกใครมาเอาเปรียบหนักขนาดนี้
อึดอัดมากกับข่าวและคำวิจารณ์ที่ออกมา และที่ไม่น่าเชื่อคือ บางเพจที่ตั้งตัวเป็นกูรูเรื่องแฟชั่น ยังกล้าเขียนมั่วซั่ว และกล่าวโทษว่าเธอกลับไปติดยา
ทั้งๆที่ผลตรวจเลือด ไม่มีสารเสพติดอยู่ในกระแสเลือดด้วยซ้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น